Page 5 - Merck

ผงสีมุก
คุณสมบัติของผงสีมุก
ผงสีมุก Iriodin® (อิริ โอดิน®) เป็นผงสีมุกที่
เลียนแบบสีของมุกธรรมชาติ โดยอาศัยหลักการ
หักเห และสะท อนของแสงระหว่างชั้ นของแร่
ไมก า (Mica) และไททาเนียมไดออกไซด์ (TiO2 )
หรื อเฟอริ กออกไซด์ (Fe2 O3) ในสีมุกทองแดง
ซึ่ งเป็นแร่อโลหะที่ใชเป็ นวัตถุดิบในการผลิตซึ่ ง
ปลอดภั ยต่อสิ่งแวดล อม จากหลักการดังกล่าว
ทำให ผงสีมุก Iriodin® มีความเงางามอย่างมีมิติ
ซึ่ งเป็นคุณลั กษณะที่ไม่มีในสีชนิดอื่น
คุณสมบัติของผงสีมุก Iriodin® (อิริโอดิน®)
เมื่อเปรียบเทียบกับสีโลหะ หรือ Metallic Pigments
• เกล็ดของผงสีมุก Iriodin ® ไม่ มีประจุ ไฟฟา
และมี ความปลอดภัยสูงเมื่อใชเป็นผงแหง โดยไม่
จำเป็นต องทำใหอยู่ในรู ปของครีมหรื อของเหลว
เสียก่อน เหมาะสำหรั บใชแทนสีโลหะ (Metallic
Pigments)
• ผงสีมุก Iriodin® มี ความทนทานต่อกรด
และด่ างสูง นอกจากนี้ยั งมีความทนทานต่ อสาร
เคมีอื่นๆ สู งอีกดวย
นอกจากนี้ ยั งสามารถนำไปผสมกับสี อื่นๆ
ทำใหเกิดสีสวยงามแปลกตาอีกมากมาย ทั้ งยัง
ช่วยเพิ่มคุ ณค่า และราคาใหกับผลิตภัณฑ์อี กดวย
ความหนาของชั้น TiO 2 และ Fe2 O3 สามารถ
ทำใหเกิดสี มุกที่ต่างกั น เช่น สีมุ กเหลือบสี
(Iriodin® Interference Color Pigments)
สีมุกทอง (Iriodin® Gold Color Pigments) และ
สีมุกทองแดง (Iriodin ® Metallic Color Pigments)
เป็นตน
• ผงสี มุก Iriodin® มี การกระจายตัวของ
เกล็ดสีมุกที่ดีและไม่ละลายในน้ ำ ทำใหได ผลของ
คุณภาพสีที่เงางามเป็นประกายอย่างสม่ำเสมอ
• ผงสีมุก Iriodin® มีความทนทานต่ออุ ณหภูมิ
ไดสู ง ซึ่ งเหมาะสำหรับใช กระบวนการผลิตที่
ตองใชความรอนมาก โดยสามารถทนทานต่อ
อุณหภู มิได สูงถึง 800oC
• การสะทอนแสงของผงสีมุก Iriodin ® นั้นเป็น
การสะทอนแสงที่เกิดจากหลายระดั บชั้ น จึงให
ประกายระยิบระยับ และมีความเป็น 3 มิติ แตกต่าง
จากสีโลหะซึ่งเกิ ดจากการสะทอนกลับของแสง
เพียงชั้นเดียว
นอกจากนี้ยั งมีสี มุก Iriodin® ที่มีคุณสมบั ติ
พิ เศษสามารถทนทานต่อแสงและอุณหภูมิ ได
เป็นอย่ างดี (Weather Resistance) โดย
สี มุก Iriodin® ในกลุ่ มนี้ใช ชื่ อทางการค าว่า
Iriodin ® WR, Iriodin® WNT, Iriodin® WRII
และ Iriodin® SW
จึ งใหการเห็นแสงสะทอนกลั บของสีโลหะเป็น
แบบมิติเดียว ในขณะที่สีชนิดอื่นๆ ที่เป็นสีทั่ว ๆ ไป
เช่น Absorption Pigments มี การดู ดกลืน
แสงสู ง มีการสะทอนกลั บของแสงสีของวั ตถุ
นั้นๆ ในทุกทิศทาง (Light Scattering) จึงไม่เกิด
ความแวววาว หรื อประกายใดๆ
5